|
|
|
|
Mercedes-Benz SLK แต่งหน้าใหม่กระตุ้นตลาดสปอร์ตเล็ก
หลังจากเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2004 ถึงเวลาแล้วที่โรดสเตอร์ไซส์เล็กอย่างเอสแอลเคจะได้แต่งหน้าทาปากเพื่อเพิ่มความสดใหม่สำหรับรับมือกับคู่ปรับอย่าง พอร์ช บ็อกสเตอร์, บีเอ็มดับเบิลยู แซด 4 และออดี้ ทีที โดยการปรับโฉมครั้งนี้ไม่ได้มาเฉพาะความใหม่สดทางด้านรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มเรี่ยวแรงให้อีกด้วย
เอสแอลเคเป็นโรดสเตอร์รุ่นเล็กที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1997 และมีความโดดเด่นอยู่ที่หลังคาแข็งแบบพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งเบนซ์ได้นำหลังคาแบบนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจนกระทั่งมีใช้อยู่ในรถสปอร์ตตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นใหญ่ ส่วนรุ่นปัจจุบันเป็นสายพันธุ์ที่ 2 ในรหัส R171 เริ่มทำตลาดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และนับจากเริ่มขายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เอสแอลเคได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และมียอดขายสะสมอยู่ที่ 496,000 คัน โดยที่ 40,000 คันเป็นรุ่นพวงมาลัยขวาที่ขายอยู่ในอังกฤษ
ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์สามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากด้านหน้า ด้วยกันชนทรงใหม่ ซึ่งชายล่างของกันชนออกแบบโดยยึดรูปทรงของแพนอากาศด้านหน้าของรถแข่ง F1 ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้การสนับสนุนทีมแข่งแม็กลาเรนมาตั้งแต่ปี 1996 รวมถึงยังมีการปรับปรุงในส่วนพื้นตัวถังด้านล่างและชายล่างของกันชนหลังให้มีประสิทธิภาพในการจัดเรียงอากาศให้ไหลผ่านอย่างเป็นระเบียบ เพื่อช่วยในเรื่องการทรงตัวและสมรรถนะในการยึดเกาะ ส่วนกระจกมองข้างมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการติดตั้งสัญญาณไฟเลี้ยวแบบ LED เอาไว้
สำหรับในห้องโดยสาร แม้ว่าจะไม่ต่างจากรุ่นดั้งเดิม แต่ก็มีการอัพเกรดด้วยการเลือกใช้วัสดุชั้นดีในการตกแต่ง รวมถึงยังมีการติดตั้งระบบอันทันสมัย เช่น ระบบเครื่องเสียง NTG 2.5 และระบบ Telematics เป็นครั้งแรก โดยสามารถสั่งงานด้วยเสียง พร้อมกับการเชื่อมต่อกับ iPOD ได้ ในรุ่นใหม่ ถือว่ามีฝีเท้าจัดจ้านขึ้น อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในรุ่นวี6 ซึ่งแม้ว่าจะมีความจุกระบอกสูบเท่าเดิมที่ 3,498 ซีซี แต่ก็มีการปรับปรุงกำลังเพิ่มขึ้นอีก 33 แรงม้าเป็น 305 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 1.01 กก.-ม. เป็น 36.7 กก.-ม. ที่ 4,900 รอบ/นาที
ส่วนในรุ่น SLK200 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,800 ซีซีก็มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 21 แรงม้าเป็น 184 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 25.5 กก.-ม.ส่วนรุ่นอื่นๆ เช่น SLK280 และ SLK55AMG ยังมีกำลังเท่าเดิม คือ 231 และ 360 แรงม้า (ตามลำดับ) แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีการปลดปล่อยระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียน้อยลง
ทุกรุ่นติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะมาให้จากโรงงาน ยกเว้นตัวแรง SLK55AMG ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แต่ถ้าใครอยากสัมผัสเกียร์ที่มากจังหวะขนาดนี้ก็ต้องซื้อรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์วี6 ซึ่งก็คือ SLK280 และ SLK350 เพราะเมอร์เซเดส-เบนซ์มีขายเป็นออพชั่น ส่วนรุ่น 4 สูบอย่าง SLK200 มีแค่เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะเท่านั้นที่เป็นออพชั่น นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุงในส่วนของระบบบังคับเลี้ยวด้วยแนวคิด Direct Steering กับระบบ Variable Steering Assiatance โดยเป็นออพชั่นสำหรับทุกรุ่น แต่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับ SLK55AMG ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบังคับควบคุมรถ และเพิ่มความสะดวกในการเข้าหรือออกจากที่จอดรถ
การส่งมอบรถสำหรับลูกค้าในยุโรปจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2008 ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมาในตอนนี้ ใครที่สนใจก็เก็บเงินรอเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
|
|
|
|
|
|
|
|