|
|
|
|
Lexus LF-A Roadster ความแรงสไตล์เปิดประทุน
ขณะที่รุ่นจำหน่ายจริงของ LF-A ยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการออกมา แต่ทางด้านเล็กซัส แบรนด์หรูของโตโยต้า ก็จัดการกระตุ้นตลาดซูเปอร์คาร์ด้วยเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของสปอร์ตสายพันธุ์นี้ ด้วยต้นแบบในสไตล์เปิดประทุนด้วยชื่อรุ่นโรดสเตอร์ ซึ่งอวดโฉมเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2008
ถือเป็นผลผลิตที่ต่อเนื่องซึ่งใช้เวลารอคอยนานเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะทิ้งระยะนานถึง 3 ปีนับจากรุ่นคูเป้ของ LF-A เปิดตัวเป็นต้นแบบครั้งแรกในปี 2005 ที่งานเดียวกันนี้ และจากการเปิดตัวเวอร์ชันโรดสเตอร์ออกมานั้น ทำให้เชื่อว่าเล็กซัสคงไม่หยุดการทำตลาดของ LF-A เพียงแค่ตัวถังเดียวอย่างที่เชื่อกันในช่วงแรกๆ อย่างแน่นอน ในเรื่องของการพัฒนานั้นไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้ในเรื่องของรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอก เพราะว่างานดีไซน์ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานแนวคิด L-Finesse เช่นเดียวกัน มีรูปแบบด้านหน้าเหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงที่ไม่มีหลังคาแข็งติดมาด้วย ส่วนด้านท้ายดีไซน์ใหม่เพื่อความสวยและความลงตัวตามแบบฉบับของรถสปอร์ตเปิดประทุน ซึ่งในรุ่นต้นแบบไม่มีแม้แต่ชุดหลังคาอ่อนพับเก็บด้วยไฟฟ้ามาให้ ซึ่งถ้าเล็กซัสคิดจะผลิตออกขายแล้ว ก็น่าจะมีระบบนี้ติดตั้งมาด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน เพราะกับสภาพอากาศที่แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ในสมัยนี้ ขืนขับออกจากบ้านแบบไม่เตรียมตัวเกิดฝนตกกลางทางเดี๋ยวจะยุ่ง อย่างไรก็ตาม บนเรือนร่างที่มีความยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,894 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร LF-A โรดสเตอร์สะท้อนให้เห็นถึงความโฉบเฉียวและเพรียวลมที่มีมากกว่ารุ่นคูเป้ด้วยความสูงเพียง 1,200 มิลลิเมตร และเติมความสปอร์ตด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ซึ่งด้านหน้าใช้ยางขนาด 265/35R20 และด้านหลังขนาด 305/35R20 พร้อมกับมีสปอยเลอร์หลังแบบพับซ่อนอย่างกลมกลืนในตัว ซึ่งจะทำงานโดยยกตัวขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเมื่อความเร็วถึงระดับที่กำหนดเพื่อสร้างความเพรียวลมและแรงกดลงบนตัวถังเพื่อให้มีการทรงตัวที่ดีในช่วงความเร็วสูง ในเรื่องของความแรงไม่ต้องเป็นห่วงเพราะในเมื่อเป็นซูเปอร์ระดับพรีเมียมขนาดนี้แล้ว สมรรถนะย่อมไม่ธรรมดา และรุ่นโรดสเตอร์ก็มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบเดียวกับรุ่นคูเป้ เป็นแบบวี10 ที่มีความจุต่ำกว่า 5,000 ซีซี แต่มีม้าในคอกอยู่ในระดับมากกว่า 500 ตัว และทำความเร็วสูงสุดเกิน 200 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 321 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างแน่นอน
เครื่องยนต์จะถูกวางในลักษณะ Front Midship Engine ซึ่งตัวบล็อกจะถูกร่นมาทางด้านหลัง และวางอยู่หลังแนวเพลาล้อหน้าเพื่อประโยชน์ในเรื่องของการสร้างสมดุลการกระจายน้ำหนักของตัวรถระหว่างด้านหน้าและหลัง ไม่ต่างจากรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง ส่วนเกียร์แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนตำแหน่ง แต่ก็มาในแบบเกียร์ธรรมดาพร้อมระบบคลัตช์ไฟฟ้า โดยเปลี่ยนเกียร์มาในรูปแบบ Sequential ด้วยแป้น + และ – ที่ติดตั้งอยู่หลังพวงมาลัย พร้อมกับหยุดอย่างมั่นใจกับดิสก์เบรกหน้า-หลังขนาด 14.2 และ 13.6 นิ้วแบบมีครีบและเจาะรูระบายอากาศแบบ Cross-Drilled จับคู่กับคาลิเปอร์แบบ 6 และ 4 ลูกสูบตามลำดับ การผลิตออกสู่ตลาดคงจะมีแน่ แต่คงต้องรอหลังจากที่รุ่นคูเป้ทำตลาดไปก่อน ซึ่งตัวถังหลังคาแข็งมีคิวเริ่มขายในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นปีหน้า กับราคาที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 170,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 5.61 ล้านบาท ส่วนรุ่นเปิดประทุนราคาแพงกว่าอยู่แล้วตามสไตล์รถสปอร์ตประเภทนี้ โดยคู่แข่งของ LF-A ทั้ง 2 ตัวถังจะเป็นฮอนด้า เอ็นเอสเอ็กซ์ ซึ่งจะเปิดตัวรุ่นใหม่เช่นกันไม่เกินปี 2010
|
|
|
|
|
|
|
|